Friday

Italy I




อันว่าเราคงไม่มีโอกาสได้กลับมาอิตาลีอีก อีกทั้งนี่เป็นทริปมายุโรปคนเดียวโดยไร้ตัวบู เลยอยากจดปูมการเดินทางครั้งนี้เอาไว้เป็นที่ระทึกสักเล็กน้อย
ครั้งนี้เราจะออกจากสิงคโปร์ เพื่อไปเจอกับก้อยที่จะบินจากไทย แล้วไปปะกันที่สนามบินแฟรงก์เฟิร์ต เพื่อต่อเครื่องไป Verona  จาก Verona เราจะนั่งรถไฟไป Trento ซึ่งเป็นบ้านของอุ้ม จุดหมายปลายทาง


สิ่งแรกที่เห็นในก้าวแรกที่สนามบินแฟรงก์เฟิร์ตก็คือเตียงสนาม ยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา
มีร่างคนนอนให้เห็นประปราย ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินผ่านค่ายกักกันผู้อพยพ
เป็นภาพที่ดึงดูดสายตานักท่องเที่ยวให้หยุดชักภาพระดับ 5 (รวมถึงเรา)
เข้าใจว่าเหล่านั้นคือคนที่รอต่อเครื่องหรืออะไรสักอย่าง เพราะแฟรงก์เฟริ์ตเป็นเหมือนชุมทางรถไฟ
ที่ใครจะไปไหนๆ ในยุโรปต่อ ก็จะต้องมาต่อเครื่องกันที่นี่ (อย่างที่บอกว่า นี่คือครั้งแรกของเราจึงคาดเดาไปเรื่อย)


เราลงตี 5.45 แต่ก้อยลง 6 โมง ทำไมก้อยถึงเดินไปที่เกตก่อนเราก็ไม่รู้ได้
(หรือเรามัวแต่แวะถ่ายรูปเตียงผู้อพยพ?)
แค่ต่อแถวตรวจคนเข้าเมือง ต่อแถวรอตรวจกระเป๋า
ก็ปาเข้าไป 1 ชม. คนที่ชินกับกระบวนการทั้งหมดนี้ภายในเวลา 10 นาทีอย่างเราเลยไม่ได้เตรียมเข้าห้องน้ำมาก่อน คิดดูละกันว่าปวดแค่ไหน จะผละจากแถวก็ไม่ได้ งือออ...



เรากับก้อยเลือกอาหารเช้าจากร้านที่ใกล้ที่สุดในสนามบิน คือ ปานินี่มะเขือเทศกับมอสซาเรลล่า และ กาแฟ 1 แก้ว (ประมาณคนละ 4.5 euro) โดยคนขายใจดีพยายามสอนวิธีออกเสียงกาแฟลาเต้ว่า
มิลชกาฟเฟ (กาแฟใส่นม) เผื่อต่อไปจะได้สั่งให้ถูก

ไม่รู้ว่าหิวหรืออะไร เราสองคนพบว่ามันเป็นปานินี่ที่อร่อย มอสซาเรลล่ามีรสชาติ เสียอย่างเดียวเบซิลเหี่ยวมาก (สังเกตได้จากทางขอบขวาของหนมปัง มันอาจจะเดินทางมาจากเอเชีย จึงอ่อนล้า)
หลังจากกินเสร็จ นั่งเมาท์กันจนหมดเรื่องคุยก็ยังไม่ถึงเวลาเครื่องออก (นั่งจาก 7 โมงถึงเที่ยง เพราะเครื่องออกเที่ยงนิดๆ) เป็นการใช้ชีิวิตในสนามบินที่ยาวนานดีแท้





ตอนแรกเราตั้งใจจะไปหาอะไรกินอีกทีที่สนามบินเวโรน่า แต่ทว่า...ทนพิษความหิวไม่ไหว
เพราะเครื่องจากแฟรงก์เฟิร์ตดีเลย์ 1 ชม.เต็ม อันเนื่องจากสภาพฟ้าฝนโครมครามน่าตกใจ
เรากับก้อยนั่งง่อย (ให้คล้อง) อยู่ในเครื่องนิ่งๆ ปล่อยให้น้ำย่อยค่อยๆ ทำลายกระเพาะไป
ดังนั้นพอเครื่องขึ้่น และแอร์สาว(เหลือ)น้อย เริ่มเข็นรถออกมาแจกอาหาร ที่อุ้มเรียกว่า "ของกินเล่น"
เราจึงดีใจมาก แต่พอตักเข้าปากเท่านั้น ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังกิน "ยำมันฝรั่ง"
เพราะเปรี้ยวปี๊ดดดดดเข้าไส้ แต่ด้วยความหิวเลยกินเข้าไปเกือบหมด
จากนั้นอาหาร "กะเพาะโดนกัด" จึงเปลี่ยนเป็นอาหาร "ท้องเดือด"
ลมเลิมเต็มท้อง แต่จะไม่กินก็ไม่ได้ ... (ปล.ช้อนส้อมของลุฟทันซ่าเค้าน่ารักเนอะ บนเครื่องตอนขาไป ส้อมก็ทรงนี้เลย)



ความทุลักทุเลลำดับถัดมา คือการต้องรีบซื้อตั๋วรถไฟจากตู้อัตโนมัติ (เพราะคิวซื้อยาวมาก และอาจจะใช้เวลานานกว่า อันว่าคนอิตาเลียนชอบชวนคุยไปเรื่อย) และหอบกระเป๋าเดินทาง นางละ 2 ใบ
ขึ้นลงบันไดชานชาลาภายในเวลาไม่ถึง 15 นาที เพื่อให้ทันรถไฟเที่ยว 16.05 
ความหน้าตาตื่นของเราสองคน ทำให้หนุ่มสาวอิตาเลียนรีบปราดเข้ามากุลีกุจอช่วยยกกระเป๋าขึ้นบันได สิ่งนี้เป็นวัฒนธรรมนี้ช่างแตกต่างกับคนทางสวีเดนเหลือเกิน ณ วินาทีนั้น เราซึ้งใจจนแทบจะน้ำตาไหล
เพราะในที่สุดก็ขึ้นรถไฟทัน พร่ำบอกแต่ว่า แตงกิ้ว แตงกิ้วเวรี่มาชช ไม่หยุดปาก 

ตลอด 1 ชม.ที่นั่งรถไฟจากเวโรน่า มาเทรนโต ฝนตกหนักตลอดทาง
อ่าว...ก้อยเรียกออกไปนอกบ้านแล้ว พรุ่งนี้มาต่อตอนต่อไป
สามสาวใหญ่ กับ หนึ่งสาวน้อง อังแตร แอ่วเมืองเทรนโต : )

No comments:

Post a Comment